รีวิว Call Me by Your Name (เจ้า โปรด เรียก ข้า ด้วย ชื่อ ของ เจ้า) (2017)

Call Me by Your Name (เจ้า โปรด เรียก ข้า ด้วย ชื่อ ของ เจ้า) (2017)

หนังประเทศ : อิตาลี / สหรัฐอเมริกา / ฝรั่งเศส / บราซิล

เรื่องย่อ

ในฤดูร้อนปี 1983 ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในแคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี “เอลิโอ เพิร์ลแมน” (Timothée Chalamet) เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ผู้มีความสามารถทางดนตรีและภาษาหลายภาษา ใช้ชีวิตไปวันๆ ระหว่างอ่านหนังสือ เล่นเปียโน และใช้เวลาช่วงวันอากาศร้อนอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านพักตากอากาศในชนบทอันเงียบสงบ จนกระทั่งวันหนึ่ง “โอลิเวอร์” (Armie Hammer) นักศึกษาปริญญาเอกจากอเมริกาเดินทางมาพักอาศัยกับครอบครัวของเขา เพื่อช่วยคุณพ่อของเอลิโอทำงานด้านโบราณคดีตลอดช่วงซัมเมอร์

โอลิเวอร์มีบุคลิกมั่นใจ ร่าเริง และเต็มไปด้วยเสน่ห์ ขณะที่เอลิโอยังเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เข้าใจหัวใจตัวเองดีนัก ทั้งคู่เริ่มต้นด้วยความห่างเหิน ก่อนที่ความรู้สึกบางอย่างจะค่อยๆ งอกงามขึ้นผ่านบทสนทนาเล็กๆ การเดินทาง ปั่นจักรยาน และเสียงเปียโนในสวน ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาอย่างลึกซึ้ง ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่นของอิตาลีในฤดูร้อน และจบลงด้วยความงดงามที่ทั้งหวานและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน

บทความรีวิว

Call Me by Your Name คือภาพยนตร์ที่ไม่เพียงพูดถึงความรัก แต่พูดถึง “การเติบโตของหัวใจ” หนังดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของ André Aciman และกำกับโดย Luca Guadagnino ที่สร้างผลงานได้อย่างอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยอารมณ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เร่งรีบ แต่ค่อยๆ ถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนและจริงแท้ของมนุษย์ออกมาอย่างงดงาม

ผู้กำกับใช้โทนสีอบอุ่นของฤดูร้อน ภาพทิวทัศน์ของอิตาลี เสียงแมลงยามบ่าย และแสงแดดที่ลอดผ่านใบไม้ เพื่อสะท้อนบรรยากาศแห่งความรู้สึกในวัยเยาว์ที่ทั้งสวยงามและชั่วคราว ความสัมพันธ์ของเอลิโอและโอลิเวอร์เป็นเหมือน “การค้นพบตัวตน” ครั้งสำคัญของชีวิต ที่ทั้งสองต้องเรียนรู้ว่า ความรักแท้จริงแล้วไม่ได้หมายถึงการได้ครอบครอง แต่อยู่ที่การได้รู้จัก และยอมรับความงดงามของช่วงเวลานั้น

Timothée Chalamet แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ถ่ายทอดอารมณ์ละเอียดของวัยรุ่นที่กำลังสับสนในความรักครั้งแรกได้อย่างเป็นธรรมชาติ เขาทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงทั้งความตื่นเต้น ความกลัว และความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน ส่วน Armie Hammer ถ่ายทอดบทของโอลิเวอร์ได้อย่างสงบนิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ความแตกต่างของอายุและประสบการณ์ระหว่างทั้งคู่ทำให้เรื่องราวนี้มีชั้นเชิงทางอารมณ์ที่ลึกและจริง

สปอยล์เต็ม

Michael Stuhlbarg, Timothée Chalamet and Armie Hammer appear in Call Me by Your Name by Luca Guadagnino, an official selection of the Premieres program at the 2017 Sundance Film Festival. Courtesy of Sundance Institute.

หลังจากความสัมพันธ์เริ่มต้นขึ้น เอลิโอและโอลิเวอร์ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข ทั้งคู่เดินทางไปเที่ยวต่างเมือง สัมผัสความงดงามของธรรมชาติและความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ แต่เมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลง โอลิเวอร์ต้องกลับอเมริกา เอลิโอหัวใจแตกสลายแต่ก็ยอมรับว่ามันคือช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต

หลายเดือนต่อมา โอลิเวอร์โทรมาบอกข่าวว่าเขาจะแต่งงาน เอลิโอนั่งอยู่หน้ากองไฟในบ้าน ครุ่นคิดถึงความทรงจำในฤดูร้อนนั้นด้วยน้ำตา ฉากนี้กลายเป็นหนึ่งในฉากปิดตำนานที่ผู้ชมทั่วโลกจดจำ เขานั่งนิ่งอยู่กับไฟและความทรงจำที่ไม่มีวันกลับมาอีก เหมือนจะบอกว่า “รักแท้ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป แค่เคยมีอยู่จริงก็เพียงพอแล้ว”

บทวิเคราะห์

Call Me by Your Name เป็นหนังที่สื่อถึง “ความรักในฐานะการเติบโต” ได้อย่างงดงามที่สุด มันไม่ได้พูดถึงเพศ แต่พูดถึงการเรียนรู้หัวใจของตัวเอง ความงามของช่วงเวลาที่อยู่ตรงหน้า และการยอมรับความสูญเสีย หนังสะท้อนความเป็นมนุษย์ผ่านรายละเอียดเล็กๆ เช่น การจับมือ การมองตา หรือแม้แต่ผลพีชในตำนานที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความใกล้ชิดและความเปราะบางของรักแรก

หนังยังสะท้อนแนวคิด “เวลา” อย่างแยบยล — ฤดูร้อนที่เริ่มต้นและจบลงคือวงจรของชีวิต เหมือนกับความรักที่มาเพียงชั่วคราวแต่ทิ้งรอยไว้ตลอดกาล คำพูดของพ่อเอลิโอในตอนท้ายกลายเป็นบทเรียนสำคัญของหนัง “อย่าทำให้หัวใจด้านชาเพียงเพราะกลัวความเจ็บปวด จงรู้สึกให้สุดในเวลาที่มันยังมีค่า”

เทคนิคการสร้างและเพลงประกอบ

หนังถ่ายทำโดยผู้กำกับภาพชาวไทย Sayombhu Mukdeeprom ซึ่งสร้างภาพอิตาลีในฤดูร้อนออกมาได้อย่างอบอุ่นและเปี่ยมชีวิต เสมือนภาพวาดสีน้ำที่เคลื่อนไหว เพลงประกอบของ Sufjan Stevens อย่าง “Mystery of Love” และ “Visions of Gideon” กลายเป็นหัวใจทางอารมณ์ของหนัง เสียงเพลงเหล่านี้ทำให้ผู้ชมย้อนกลับมาคิดถึงรักครั้งแรกของตัวเองในแบบที่ทั้งงดงามและเจ็บปวด

การตัดต่อและจังหวะการเล่าเรื่องของหนังเนิบช้าแต่มีเสน่ห์ เหมือนการละเลียดอารมณ์ทีละน้อย หนังไม่ได้เร่งให้ผู้ชมเข้าใจความรักของตัวละคร แต่ค่อยๆ พาให้เรา “รู้สึก” ไปพร้อมกับพวกเขา

บทวิจารณ์

Call Me by Your Name ได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากนักวิจารณ์ทั่วโลก และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 4 สาขา โดยคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (Adapted Screenplay) ในปี 2018 ผลงานนี้ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหนังโรแมนติกที่งดงามที่สุดแห่งศตวรรษ

ด้วยการเล่าเรื่องที่ละเอียด ละเมียด และซื่อตรงต่ออารมณ์ ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เพียงแต่พูดถึงความรัก แต่ยังพูดถึง “ความเป็นมนุษย์” ในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นความหวัง ความสูญเสีย หรือความทรงจำที่ไม่มีวันเลือน มันคือหนังที่ทำให้คนดูนิ่งงันหลังจบ เพราะไม่รู้ว่าจะร้องไห้ ยิ้ม หรือคิดถึงใครดี

ตัวอย่างภาพยนตร์

 

Author: kaati

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *